รายละเอียด
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เลือดจระเข้แคปซูลตราวินน์
เลือดจระเข้ ม.เกษตร อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน ธาตุเหล็กและแร่ธาตุต่างๆที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเหมาะสำหรับผู้ป่วยและบุคคลทั่วไป ทุกเพศทุกวัยสามารถรับประทานได้อย่างต่อเนื่องหากร่างกายดูดซึมไม่หมดจะถูกขับออกจากร่างกายตามธรรมชาติ
ผู้วิจัยผลิตภัณฑ์เลือดจระเข้วินน์
รองศาสตราจารย์วิน เชยชมศรี
ภาควิชาสัตววิทยาคณะวิทยาศาสตร์วิทยาเขตบางเขน
M.S (Tropical Medicine), Mahidol University, ไทย, 2531
B.S (Biology), Ramkhamhaeng University, ไทย, 2522
Ph.D Agricultural Biotechnology Kasetsart University 2550
รองศาสตราจารย์จินดาวรรณ สิรันทวิเนติ
ภาควิชาสัตววิทยาคณะวิทยาศาสตร์วิทยาเขตบางเขน
Ph. D. (Agricutural Science), University of Tsukuba, JAPAN, 2545
วท.ม. (พยาธิวิทยาคลินิก), คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี ม.มหิดล, ไทย, 2534
วท.บ. (เทคนิคการแพทย์), คณะเทคนิคการแพทย์ ม.ขอนแก่น, ไทย, 2531
ทำไมต้องเลือดจระเข้ตราวินน์ ?
√ ใช้กรรมวิธีเจาะเก็บเลือดที่สะอาด ปลอดภัย
เก็บเลือดจระเข้ที่มีคุณภาพดีลงสู่ขวดในระบบปิด ด้วยนวัตกรรมการเจาะดูด เสมือนการบริจาคเลือด
√ ผ่านกระบวนพาสเจอร์ไรส์และฟรีซดราย
นำเลือดจระเข้ผ่านกระบวนพาสเจอร์ไรส์โดยไม่เติมสารใดๆ เก็บรักษาคุณค่าเลือดจระเข้ด้วยกระบวนการฟรีซดราย
ซึ่งเป็นขั้นตอนพิเศษเฉพาะ ปราศจากเชื้อโรค แบคทีเรีย และสารปนเปื้อน
√ รับรองโดย อย. และมาตรฐานการผลิตGMP
อย. เลขที่ 13-1-03060-1-0001 ได้รับมาตรฐานGMPของ อย. ระดับดีมาก ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ (QC) ก่อนถึงมือผู้บริโภค
ประโยชน์และสรรพคุณของเลือดจระเข้วินน์
สำหรับผู้ที่เป็นโลหิตจางเม็ดเลือดต่ำ เกล็ดเลือดต่ำ
จากงานวิจัยพบว่า เลือดจระเข้ ม.เกษตร มีส่วนช่วย เสริมสร้างเม็ดเลือดและเกล็ดเลือด โดยไม่มีผลข้างเคียง ไม่สะสมในร่างกาย เมื่อเทียบกับธาตุเหล็กสังเคราะห์
สำหรับผู้ที่เป็นมะเร็ง
การรักษามะเร็งด้วยการฉายรังสีและการทำเคมีบำบัด มีผลทำให้เม็ดเลือดและเกล็ดเลือดของผู้ป่วยถูกทำลาย ซึ่งการรับประทานเลือดจระเข้จะช่วยเพิ่มเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้นมีผลการตรวจเลือดอยู่ในระดับที่สามารถทำการรักษาต่อได้ครบขั้นตอน
สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน
เลือดจระเข้ ม.เกษตร มีสารIGF1ที่มีลักษณะคล้ายอินซูลิน ทำหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลในเลือดเป็นพลังงาน ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง และช่วยให้แผลจากเบาหวานหายเร็วขึ้น
สำหรับผู้ที่เป็นภูมิแพ้ หอบหืด
เลือดจระเข้ ม.เกษตร มีส่วนช่วยในระบบเลือดและการไหลเวียนเลือด ทำให้สามารถ นำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายมากขึ้น บรรเทาอาการหอบ เหนื่อย และช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ดีขึ้น
สำหรับผู้ที่เป็นเอดส์ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
เลือดจระเข้ ม.เกษตร ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย ผู้ป่วย HIV ที่ได้รับประทานเลือดจระเข้ค่า CD4 จะสูงขึ้น ไม่ติดเชื้อง่าย ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
สำหรับนักกีฬา
ช่วยให้การนำออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น จะทำให้นักกีฬ่าเหนื่อยยาก มีพละกำลังมากขึ้น โดยไม่ถือเป็นยาโด๊บที่ผิดกฎสากล เป็นที่นิยมในกลุ่มกีฬาจีน
สำหรับผู้ที่มีบุตรยาก อยากมีลูก
เลือดจระเข้ ม.เกษตร มีส่วนช่วยเสริมให้สเปิร์มของผู้ชายแข็งแรงขึ้น และเสริมให้ไข่ของผู้หญิงแข็งแรงขึ้น ทำให้โอกาสที่จะปฏิสนธิก็มีมากขึ้น
ขนาดรับประทาน
วันละ 1 ครั้ง 1-2 แคปซูลก่อนอาหาร
ส่วนประกอบสำคัญใน 1 แคปซูล
เลือดจระเข้ระเหิดแห้ง
การเก็บรักษา
ควรเก็บไว้ในที่แห้งและเย็น
คุยกับ “รศ.ดร.วิน เชยชมศรี”กับหนึ่งในทรัพย์สินทางปัญญา
หากพูดถึงสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งของไทยคงจะไม่พูดถึง“จระเข้”ก็คงจะไม่ได้เพราะประเทศไทยเป็นแหล่งฟาร์มเลี้ยงจระเข้ส่งออกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกมีมูลค่าการค้าโดยรวม3,500-4,000ล้านบาท/ปีโดยจระเข้ตัวหนึ่งๆสามารถทำรายได้ได้หมดทุกส่วนตั้งแต่หัวจรดหางไม่ว่าจะเป็นเนื้อกระดูก หนัง ไม่เว้นแม้แต่ “เลือดจระเข้” ที่มีการทำวิจัยและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ มีโอกาสได้พูดคุยกับ รศ.ดร.วิน เชยชมศรี แห่งภาควิชาสัตววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หนึ่งในทีมวิจัยเลือดจระเข้ระเหิดแห้ง จนกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม “เลือดจระเข้แคปซูล” รายแรกของประเทศไทยและของโลก ที่ได้นำผลงานมาเข้าร่วมจัดแสดงในงานมหกรรมทรัพย์สินทางปัญญา (IP Fair 2017) เมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
จุดเริ่มต้นของงานวิจัยเลือดจระเข้นี้อ.วิน เล่าว่า ในตำรายาแผนโบราณนั้นมักจะมีเลือดจระเข้ ดีจระเข้เป็นส่วนผสมอยู่แล้ว ซึ่งจะเห็นได้ว่าเวลาไปตามฟาร์มจระเข้ เรามักจะได้ยินผู้ที่มีปัญหาโรคมะเร็ง เบาหวาน หรือแม้แต่โลหิตจางไปขอเลือดจระเข้มารับประทาน รวมถึงมองเห็นปัญหาของอุตสาหกรรมฟาร์มจระเข้ที่ใช้ทุกส่วนในการผลิตผลิตภัณฑ์ แต่กลับทิ้งเลือดที่เป็นของดีไปโดยไม่เกิดประโยชน์ จึงคิดวิจัยนำเลือดจระเข้มาสร้างประโยชน์ให้ถูกต้องตามกระบวนการ และเป็นที่ยอมรับขององค์การอาหารและยา (อย.) ด้วย
แต่กว่าจะมาเป็นเลือดจระเข้แคปซูลนั้นทีมวิจัยได้ทำการวิจัยมากแล้วมากกว่า10ปีโดยได้คิดค้นอุปกรณ์เจาะเก็บเลือดจระเข้ปริมาณมากรวมถึงการนำเทคโนโลยีฟรีซดราย(Freezedry)ทำให้เลือดจระเข้อยู่ในรูปแบบแห้ง เพื่อให้เลือดที่ได้มานั้นปราศจากสารปนเปื้อนและมีคุณภาพดีที่สามารถใช้กับคนได้
“สิ่งที่สำคัญคือความสะอาด เพราะเราเอามาใช้กับคน เปรียบเหมือนกับการเจาะเลือดจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งสามารถทำได้โดยตรง ไม่มีการติดเชื้อ จึงได้ใช้หลักการเดียวกันหาวิธีทำให้เลือดจระเข้มีคุณภาพ และไม่มีการปนเปื้อน” อ.วิน กล่าว
ด้านตลาดเลือดจระเข้แคปซูลนั้นอยู่ที่ประเทศจีนเป็นหลัก ส่วนตลาดในประเทศไทยนั้น อ.วิน ระบุว่า เลือดจระเข้แคปซูลเป็นที่รู้จักแต่จะเยอะเฉพาะกลุ่ม โดยแต่ละปีใช้เลือดจระเข้ 1 หมื่นลิตร สามารถผลิตได้แค่ 4 ล้านเม็ด
“เกษตรกรที่จะกล้าเข้ามาทำจะต้องลงทุนสูงและมีคอนเน็กชั่นกับฟาร์มเลี้ยงจระเข้ ซึ่งส่วนใหญ่เลือดที่ได้มานั้นมาจากการบริจาค และรับซื้อจากฟาร์ม ส่วมมากจะเป็นฟาร์มขนาดใหญ่”
อย่างไรก็ตาม อ.วิน ระบุว่ายังมีอีกปัญหาหนึ่งที่รัฐบาลควรเข้ามาช่วยเพื่อผลักดันให้เป็นประเทศไทย 4.0 ในด้านของสุขภาพนั้น คือการต่อยอดงานวิจัย ที่ตอนนี้ยังเป็นได้แค่เพียง”อาหารเสริม”เท่านั้นไม่ใช่ “ยา”
“อยากให้รัฐบาลหาทีมแพทย์มารองรับ และทำวิจัยติดตามผลต่อยอด เพื่อให้สามารถผลิตและจดทะเบียนเป็นยาได้”
นอกจากนี้อ.วินทิ้งท้ายด้วยความหวังในอุตสาหกรรมส่งออกผลิตภัณฑ์จากจระเข้ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหนังอาหารรวมถึงอาหารเสริมซึ่งเป็นที่ยอมรับของทั่วโลกแต่เว้นอยู่ประเทศเดียวคือสหรัฐอเมริกาที่เป็นประเทศนำเข้าผลิตภัณฑ์จากสัตว์เลื้อยคลานมากที่สุดในโลกแต่ไทยไม่สามารถนำเข้าไปขายได้เนื่องจากติดอนุสัญญาไซเตสที่กำหนดให้จระเข้ในประเทศไทยเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ห้ามนำเข้าอเมริกาเพื่อการค้าโดยเด็ดขาดถ้าหากไทยสามารถเลื่อนระดับของอนุสัญญาฯลงได้จะทำให้มีโอกาสทางการค้ามากขึ้น
หวังว่ารัฐบาลจะหันมาเร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมส่งออกผลิตภัณฑ์จากจระเข้ให้มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับของทั่วโลก
ที่มา: www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1494563885#
ออสซี่เร่งพัฒนายาปฏิชีวนะจากเลือดจระเข้ฆ่าเชื้อเอดส์
รอยเตอร์ – นักวิทยาศาสตร์แดนจิงโจ้ระดมเก็บตัวอย่างเลือดจระเข้เพื่อพัฒนายาปฏิชีวนะสำหรับมนุษย์ หลังการทดลองยืนยันแล้วว่า แอนติเจนในเลือดจระเข้สามารถกลายเป็นแอนติบอดีฆ่าเชื้อไวรัสเอชไอวีที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ในมนุษย์ได้ ระบบภูมิคุ้มกันของจระเข้นั้นเข้มแข็งมากกว่าระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์มากมายนัก โดยนักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตความเป็นอยู่ของจระเข้ที่มักต่อสู้กันจนเป็นแผลขนาดใหญ่หรือขาขาด แต่แผลฉกรรจ์เหล่านั้นกลับไม่เน่าพุพอง และปิดสนิทหายอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่จระเข้อยู่อาศัยในพื้นที่หนองน้ำและพื้นดิน ซึ่งเต็มไปด้วยเชื้อไวรัสและแบคทีเรียชนิดต่างๆ ลักษณะดังกล่าวของจระเข้ทำให้นักวิทยาศาสตร์ตั้งข้อสงสัย และนำตัวอย่างเลือดจระเข้มาวิจัยกับเชื้อจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ ที่สามารถฆ่ามนุษย์ได้
อดัม บริตตัน (Adam Britton) นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลียน จากคร็อกโคไดลัส พาร์ก ศูนย์การท่องเที่ยวและวิจัยในเมืองดาร์วิน (Darwin’s Crocodylus Park) เปิดเผยว่า เขาได้ศึกษาระบบภูมิคุ้มกันของจระเข้ตั้งแต่ปี 1998 เป็นต้นมา และพบว่าระบบภูมิคุ้มกันของสัตว์เลื้อยคลานมีสารโปรตีนบางชนิดหรือสารก่อภูมิต้านทาน (antingen) หลายชนิดที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้มากกว่าเชื้อยาเพนนิซิลินที่ไม่สามารถกำจัดได้ โดยเฉพาะเชื้อ Staphylococcus aureus หรือ golden staph เป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบบริเวณผิวหนังและภายในโพรงจมูกของคนทั่วไป บางครั้งเชื้อนี้ก่อให้เกิดโรคและพบว่าเป็นสาเหตุของการติดเชื้อที่ผิวหนังได้บ่อยที่สุดในบรรดาเชื้อก่อโรคทั้งหลาย ซึ่งเชื้อชนิดนี้กำลังเป็นเชื้อดื้อยาที่แพทย์พยายามหาทางรักษา
นอกจากนี้ การทดลองยังพบด้วยว่าภูมิคุ้มกันจระเข้สามารถฆ่าเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะนี้คณะนักวิทยาศาสตร์ออสเตรเลียนำทีมโดยบริตตันและมาร์ก เมอร์ชานต์ (Mark Merchant) จากสหรัฐฯ ใช้เวลากว่า 10 วันในการระดมเก็บตัวอย่างเลือดจระเข้ทั้งพันธุ์น้ำเค็มและน้ำจืดเพื่อนำมาสกัดทำเป็นยาฆ่าจุลินทรีย์ โดยพยายามเข้าจับจระเข้าต่างๆ และสตาฟส่วนหัวไว้ชั่วคราว เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์ได้มีโอกาสเข้าเก็บตัวอย่างเลือดจากส่วนหัวของจระเข้ ซึ่งเป็นแหล่งเส้นเลือดขนาดใหญ่
“บริเวณหัวมีโพรงหลอดเลือด ทำให้พวกเราสามารถปักเข็มลงตรงส่วนนั้นและได้ตัวอย่างเลือดในปริมาณที่มากพอได้โดยง่าย” บริตตันอธิบาย พร้อมทั้งระบุว่า ภูมิคุ้มกันของจระเข้แตกต่างจากมนุษย์รวมถึงมีฤทธิ์แรงมาก ดังนั้นจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับร่างกายมนุษย์ได้ ก่อนนำมาใช้กับมนุษย์โดยตรงเพื่อรักษาแผลพุพอง เป็นหนอง รวมถึงโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ที่มา: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9480000110459