Sale!

เลือดจระเข้วินน์ 100 แคปซูล

2,000.00 ฿ 1,500.00 ฿

ชื่อสินค้า เลือดจระเข้แคปซูล (ขวดใหญ่)
ผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยโดย อาจารย์วิน เชยชมศรี
ตรา :วินน์ (Wynn)
ประเภทสินค้า :ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ขนาด :100 แคปซูล
น้ำหนักสุทธิ :31.0 กรัม
ส่วนประกอบที่สำคัญใน 1 แคปซูล :เลือดจระเข้แห้ง 
เลขที่อย.>13-1-03060-1-0001

รายละเอียด

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เลือดจระเข้แคปซูลตราวินน์

เลือดจระเข้ ม.เกษตร อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน ธาตุเหล็กและแร่ธาตุต่างๆที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเหมาะสำหรับผู้ป่วยและบุคคลทั่วไป ทุกเพศทุกวัยสามารถรับประทานได้อย่างต่อเนื่องหากร่างกายดูดซึมไม่หมดจะถูกขับออกจากร่างกายตามธรรมชาติ


ผู้วิจัยผลิตภัณฑ์เลือดจระเข้วินน์

 

ดร-วิน-เชยชมศรี

 

รองศาสตราจารย์วิน เชยชมศรี
ภาควิชาสัตววิทยาคณะวิทยาศาสตร์วิทยาเขตบางเขน
M.S (Tropical Medicine), Mahidol University, ไทย, 2531

B.S (Biology), Ramkhamhaeng University, ไทย, 2522
Ph.D Agricultural Biotechnology Kasetsart University 2550

 

 

ดร-จินดาวรรณ

 

รองศาสตราจารย์จินดาวรรณ สิรันทวิเนติ
ภาควิชาสัตววิทยาคณะวิทยาศาสตร์วิทยาเขตบางเขน
Ph. D. (Agricutural Science), University of Tsukuba, JAPAN, 2545

วท.ม. (พยาธิวิทยาคลินิก), คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี ม.มหิดล, ไทย, 2534
วท.บ. (เทคนิคการแพทย์), คณะเทคนิคการแพทย์ ม.ขอนแก่น, ไทย, 2531


ทำไมต้องเลือดจระเข้ตราวินน์ ?

√ ใช้กรรมวิธีเจาะเก็บเลือดที่สะอาด ปลอดภัย
เก็บเลือดจระเข้ที่มีคุณภาพดีลงสู่ขวดในระบบปิด ด้วยนวัตกรรมการเจาะดูด เสมือนการบริจาคเลือด

√ ผ่านกระบวนพาสเจอร์ไรส์และฟรีซดราย
นำเลือดจระเข้ผ่านกระบวนพาสเจอร์ไรส์โดยไม่เติมสารใดๆ เก็บรักษาคุณค่าเลือดจระเข้ด้วยกระบวนการฟรีซดราย

ซึ่งเป็นขั้นตอนพิเศษเฉพาะ ปราศจากเชื้อโรค แบคทีเรีย และสารปนเปื้อน

√ รับรองโดย อย. และมาตรฐานการผลิตGMP
อย. เลขที่ 13-1-03060-1-0001 ได้รับมาตรฐานGMPของ อย. ระดับดีมาก ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ (QC) ก่อนถึงมือผู้บริโภค


ประโยชน์และสรรพคุณของเลือดจระเข้วินน์

สำหรับผู้ที่เป็นโลหิตจางเม็ดเลือดต่ำ เกล็ดเลือดต่ำ
จากงานวิจัยพบว่า เลือดจระเข้ ม.เกษตร มีส่วนช่วย เสริมสร้างเม็ดเลือดและเกล็ดเลือด โดยไม่มีผลข้างเคียง ไม่สะสมในร่างกาย เมื่อเทียบกับธาตุเหล็กสังเคราะห์

สำหรับผู้ที่เป็นมะเร็ง
การรักษามะเร็งด้วยการฉายรังสีและการทำเคมีบำบัด มีผลทำให้เม็ดเลือดและเกล็ดเลือดของผู้ป่วยถูกทำลาย ซึ่งการรับประทานเลือดจระเข้จะช่วยเพิ่มเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้นมีผลการตรวจเลือดอยู่ในระดับที่สามารถทำการรักษาต่อได้ครบขั้นตอน

สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน
เลือดจระเข้ ม.เกษตร มีสารIGF1ที่มีลักษณะคล้ายอินซูลิน ทำหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลในเลือดเป็นพลังงาน ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง และช่วยให้แผลจากเบาหวานหายเร็วขึ้น

สำหรับผู้ที่เป็นภูมิแพ้ หอบหืด
เลือดจระเข้ ม.เกษตร มีส่วนช่วยในระบบเลือดและการไหลเวียนเลือด ทำให้สามารถ นำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายมากขึ้น บรรเทาอาการหอบ เหนื่อย และช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ดีขึ้น

สำหรับผู้ที่เป็นเอดส์ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
เลือดจระเข้ ม.เกษตร ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย ผู้ป่วย HIV ที่ได้รับประทานเลือดจระเข้ค่า CD4 จะสูงขึ้น ไม่ติดเชื้อง่าย ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สำหรับนักกีฬา
ช่วยให้การนำออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น จะทำให้นักกีฬ่าเหนื่อยยาก มีพละกำลังมากขึ้น โดยไม่ถือเป็นยาโด๊บที่ผิดกฎสากล เป็นที่นิยมในกลุ่มกีฬาจีน

สำหรับผู้ที่มีบุตรยาก อยากมีลูก
เลือดจระเข้ ม.เกษตร มีส่วนช่วยเสริมให้สเปิร์มของผู้ชายแข็งแรงขึ้น และเสริมให้ไข่ของผู้หญิงแข็งแรงขึ้น ทำให้โอกาสที่จะปฏิสนธิก็มีมากขึ้น


ขนาดรับประทาน

วันละ 1 ครั้ง 1-2 แคปซูลก่อนอาหาร

ส่วนประกอบสำคัญใน 1 แคปซูล

เลือดจระเข้ระเหิดแห้ง 

การเก็บรักษา

ควรเก็บไว้ในที่แห้งและเย็น


คุยกับ “รศ.ดร.วิน เชยชมศรี”กับหนึ่งในทรัพย์สินทางปัญญา

ดร. วินน์

หากพูดถึงสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งของไทยคงจะไม่พูดถึง“จระเข้”ก็คงจะไม่ได้เพราะประเทศไทยเป็นแหล่งฟาร์มเลี้ยงจระเข้ส่งออกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกมีมูลค่าการค้าโดยรวม3,500-4,000ล้านบาท/ปีโดยจระเข้ตัวหนึ่งๆสามารถทำรายได้ได้หมดทุกส่วนตั้งแต่หัวจรดหางไม่ว่าจะเป็นเนื้อกระดูก หนัง ไม่เว้นแม้แต่ “เลือดจระเข้” ที่มีการทำวิจัยและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

 

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ มีโอกาสได้พูดคุยกับ รศ.ดร.วิน เชยชมศรี แห่งภาควิชาสัตววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หนึ่งในทีมวิจัยเลือดจระเข้ระเหิดแห้ง จนกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม “เลือดจระเข้แคปซูล” รายแรกของประเทศไทยและของโลก ที่ได้นำผลงานมาเข้าร่วมจัดแสดงในงานมหกรรมทรัพย์สินทางปัญญา (IP Fair 2017) เมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

 

จุดเริ่มต้นของงานวิจัยเลือดจระเข้นี้อ.วิน เล่าว่า ในตำรายาแผนโบราณนั้นมักจะมีเลือดจระเข้ ดีจระเข้เป็นส่วนผสมอยู่แล้ว ซึ่งจะเห็นได้ว่าเวลาไปตามฟาร์มจระเข้ เรามักจะได้ยินผู้ที่มีปัญหาโรคมะเร็ง เบาหวาน หรือแม้แต่โลหิตจางไปขอเลือดจระเข้มารับประทาน รวมถึงมองเห็นปัญหาของอุตสาหกรรมฟาร์มจระเข้ที่ใช้ทุกส่วนในการผลิตผลิตภัณฑ์ แต่กลับทิ้งเลือดที่เป็นของดีไปโดยไม่เกิดประโยชน์ จึงคิดวิจัยนำเลือดจระเข้มาสร้างประโยชน์ให้ถูกต้องตามกระบวนการ และเป็นที่ยอมรับขององค์การอาหารและยา (อย.) ด้วย

 

แต่กว่าจะมาเป็นเลือดจระเข้แคปซูลนั้นทีมวิจัยได้ทำการวิจัยมากแล้วมากกว่า10ปีโดยได้คิดค้นอุปกรณ์เจาะเก็บเลือดจระเข้ปริมาณมากรวมถึงการนำเทคโนโลยีฟรีซดราย(Freezedry)ทำให้เลือดจระเข้อยู่ในรูปแบบแห้ง เพื่อให้เลือดที่ได้มานั้นปราศจากสารปนเปื้อนและมีคุณภาพดีที่สามารถใช้กับคนได้

“สิ่งที่สำคัญคือความสะอาด เพราะเราเอามาใช้กับคน เปรียบเหมือนกับการเจาะเลือดจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งสามารถทำได้โดยตรง ไม่มีการติดเชื้อ จึงได้ใช้หลักการเดียวกันหาวิธีทำให้เลือดจระเข้มีคุณภาพ และไม่มีการปนเปื้อน” อ.วิน กล่าว

 

ด้านตลาดเลือดจระเข้แคปซูลนั้นอยู่ที่ประเทศจีนเป็นหลัก ส่วนตลาดในประเทศไทยนั้น อ.วิน ระบุว่า เลือดจระเข้แคปซูลเป็นที่รู้จักแต่จะเยอะเฉพาะกลุ่ม โดยแต่ละปีใช้เลือดจระเข้ 1 หมื่นลิตร สามารถผลิตได้แค่ 4 ล้านเม็ด

 

“เกษตรกรที่จะกล้าเข้ามาทำจะต้องลงทุนสูงและมีคอนเน็กชั่นกับฟาร์มเลี้ยงจระเข้ ซึ่งส่วนใหญ่เลือดที่ได้มานั้นมาจากการบริจาค และรับซื้อจากฟาร์ม ส่วมมากจะเป็นฟาร์มขนาดใหญ่”

 

อย่างไรก็ตาม อ.วิน ระบุว่ายังมีอีกปัญหาหนึ่งที่รัฐบาลควรเข้ามาช่วยเพื่อผลักดันให้เป็นประเทศไทย 4.0 ในด้านของสุขภาพนั้น คือการต่อยอดงานวิจัย ที่ตอนนี้ยังเป็นได้แค่เพียง”อาหารเสริม”เท่านั้นไม่ใช่ “ยา”

 

“อยากให้รัฐบาลหาทีมแพทย์มารองรับ และทำวิจัยติดตามผลต่อยอด เพื่อให้สามารถผลิตและจดทะเบียนเป็นยาได้”

 

นอกจากนี้อ.วินทิ้งท้ายด้วยความหวังในอุตสาหกรรมส่งออกผลิตภัณฑ์จากจระเข้ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหนังอาหารรวมถึงอาหารเสริมซึ่งเป็นที่ยอมรับของทั่วโลกแต่เว้นอยู่ประเทศเดียวคือสหรัฐอเมริกาที่เป็นประเทศนำเข้าผลิตภัณฑ์จากสัตว์เลื้อยคลานมากที่สุดในโลกแต่ไทยไม่สามารถนำเข้าไปขายได้เนื่องจากติดอนุสัญญาไซเตสที่กำหนดให้จระเข้ในประเทศไทยเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ห้ามนำเข้าอเมริกาเพื่อการค้าโดยเด็ดขาดถ้าหากไทยสามารถเลื่อนระดับของอนุสัญญาฯลงได้จะทำให้มีโอกาสทางการค้ามากขึ้น

 

หวังว่ารัฐบาลจะหันมาเร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมส่งออกผลิตภัณฑ์จากจระเข้ให้มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับของทั่วโลก

 

ที่มา: www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1494563885#


ออสซี่เร่งพัฒนายาปฏิชีวนะจากเลือดจระเข้ฆ่าเชื้อเอดส์

รอยเตอร์ – นักวิทยาศาสตร์แดนจิงโจ้ระดมเก็บตัวอย่างเลือดจระเข้เพื่อพัฒนายาปฏิชีวนะสำหรับมนุษย์ หลังการทดลองยืนยันแล้วว่า แอนติเจนในเลือดจระเข้สามารถกลายเป็นแอนติบอดีฆ่าเชื้อไวรัสเอชไอวีที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ในมนุษย์ได้  ระบบภูมิคุ้มกันของจระเข้นั้นเข้มแข็งมากกว่าระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์มากมายนัก โดยนักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตความเป็นอยู่ของจระเข้ที่มักต่อสู้กันจนเป็นแผลขนาดใหญ่หรือขาขาด แต่แผลฉกรรจ์เหล่านั้นกลับไม่เน่าพุพอง และปิดสนิทหายอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่จระเข้อยู่อาศัยในพื้นที่หนองน้ำและพื้นดิน ซึ่งเต็มไปด้วยเชื้อไวรัสและแบคทีเรียชนิดต่างๆ ลักษณะดังกล่าวของจระเข้ทำให้นักวิทยาศาสตร์ตั้งข้อสงสัย และนำตัวอย่างเลือดจระเข้มาวิจัยกับเชื้อจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ ที่สามารถฆ่ามนุษย์ได้

 

อดัม บริตตัน (Adam Britton) นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลียน จากคร็อกโคไดลัส พาร์ก ศูนย์การท่องเที่ยวและวิจัยในเมืองดาร์วิน (Darwin’s Crocodylus Park) เปิดเผยว่า เขาได้ศึกษาระบบภูมิคุ้มกันของจระเข้ตั้งแต่ปี 1998 เป็นต้นมา และพบว่าระบบภูมิคุ้มกันของสัตว์เลื้อยคลานมีสารโปรตีนบางชนิดหรือสารก่อภูมิต้านทาน (antingen) หลายชนิดที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้มากกว่าเชื้อยาเพนนิซิลินที่ไม่สามารถกำจัดได้ โดยเฉพาะเชื้อ Staphylococcus aureus หรือ golden staph เป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบบริเวณผิวหนังและภายในโพรงจมูกของคนทั่วไป บางครั้งเชื้อนี้ก่อให้เกิดโรคและพบว่าเป็นสาเหตุของการติดเชื้อที่ผิวหนังได้บ่อยที่สุดในบรรดาเชื้อก่อโรคทั้งหลาย ซึ่งเชื้อชนิดนี้กำลังเป็นเชื้อดื้อยาที่แพทย์พยายามหาทางรักษา

 

นอกจากนี้ การทดลองยังพบด้วยว่าภูมิคุ้มกันจระเข้สามารถฆ่าเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะนี้คณะนักวิทยาศาสตร์ออสเตรเลียนำทีมโดยบริตตันและมาร์ก เมอร์ชานต์ (Mark Merchant) จากสหรัฐฯ ใช้เวลากว่า 10 วันในการระดมเก็บตัวอย่างเลือดจระเข้ทั้งพันธุ์น้ำเค็มและน้ำจืดเพื่อนำมาสกัดทำเป็นยาฆ่าจุลินทรีย์ โดยพยายามเข้าจับจระเข้าต่างๆ และสตาฟส่วนหัวไว้ชั่วคราว เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์ได้มีโอกาสเข้าเก็บตัวอย่างเลือดจากส่วนหัวของจระเข้ ซึ่งเป็นแหล่งเส้นเลือดขนาดใหญ่

 

“บริเวณหัวมีโพรงหลอดเลือด ทำให้พวกเราสามารถปักเข็มลงตรงส่วนนั้นและได้ตัวอย่างเลือดในปริมาณที่มากพอได้โดยง่าย” บริตตันอธิบาย พร้อมทั้งระบุว่า ภูมิคุ้มกันของจระเข้แตกต่างจากมนุษย์รวมถึงมีฤทธิ์แรงมาก ดังนั้นจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับร่างกายมนุษย์ได้ ก่อนนำมาใช้กับมนุษย์โดยตรงเพื่อรักษาแผลพุพอง เป็นหนอง รวมถึงโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง

 

ที่มา: http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9480000110459


 โรงงานผลิตเลือดจระเข้แคปซูลตราวินน์

 

โรงงานผลิต-ตราวินน์


 วิธีผลิตเลือดจระเข้วินน์ ไม่ทำลายชีวิตของจระเข้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คุณอาจจะชื่นชอบ…